วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
กรมศุลกากรจับกุมไม้ซุงท่อน ไม้ท่อนแปรรูป
ตามที่กรมศุลกากรได้มุ่งเน้นนโยบายสำคัญในการเร่งรัดการปราบปรามสินค้าลักลอบหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม ข้อกำกัด เพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร จึงได้สั่งการให้ นายวิศาล วุฒิศักดิ์ศิลป์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายเสรี ไทยจงรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 2 วางแผนการจับกุมผู้กระทำความผิดดังนี้
วันที่ 11 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ส่วนสืบสวนปราบปราม 2 สำนักสืบสวนและปราบปราม ได้ร่วมกันตรวจสอบเรือบรรทุกสินค้าชื่อ ไร่อภัยทาน ที่บริเวณเกาะริ้น จังหวัดชลบุรี พิกัด แลต 12 องศา 44 ลิปดา ลอง 100 องศา 55 ลิปดา โดยมุ่งหน้าออกไปยังประเทศเวียดนาม ผลการตรวจสอบพบไม้ท่อน และไม่แปรรูปจำนวนกว่า 1,000 ท่อน มูลค่าประมาณ 5,000,000 บาท พร้อมผู้ต้องหา รวม 5 ราย
กรณีดังกล่าวเป็นความผิดฐานพยายามลักลอบส่งไม้ท่อนและไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบมาตรา 16, 17 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้นำของกลางส่งกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ที่มา : กรมศุลกากร
วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
บริการใหม่จากกรมศุลกากร
ติดตามสถานะ การผ่านพิธีการศุลกากรอิเลคทรอนิกส์ ผ่านอินเตอร์เนต
นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีการศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากร ได้เพิ่มบริการใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ โดยพัฒนาระบบติดตามสถานะ การผ่านพิธีการศุลกากรอิเลคทรอนิกส์ (e-Tracking) ผ่านทางระบบอินเตอร์เนต เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ผ่านพิธีการศุลกากรในระบบอิเลคทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless Customs) สามารถตรวจสอบข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก และติดตามสถานะการผ่านพิธีการศุลกากรอิเลคทรอนิกส์ ในทุกกระบวนการได้ด้วยตนเองตลอดเวลา
ระบบติดตามสถานะการผ่านพิธีการศุลกากรอิเลคทรอนิกส์ (e-Tracking) ผ่านทางระบบ อินเตอร์เนตจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก ให้สามารถตรวจสอบสถานะ การผ่านพิธีการศุลกากรอิเลคทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless Customs) ตรวจสอบข้อมูลการลงทะเบียนจากฐานข้อมูลทะเบียนผู้มาติดต่อของกรมศุลกากรและตรวจสอบข้อมูลและสถานะ การผ่านพิธีการศุลกากรอิเลคทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless Customs) ได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ณ ที่ทำการของผู้ประกอบการโดยตรง ซึ่งผู้ประกอบการจะสามารถติดตามตรวจสอบได้ว่า ใบขนสินค้าขาเข้า-ขาออก ของตนอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานใด หากพบปัญหาติดขัดล่าช้า ก็สามารถประสานงานแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
อธิบดีกรมศุลกากร เพิ่มเติมว่า กรมศุลกากรจะมีการบรรยายเรื่อง "e-Tracking" ในการสัมมนา เรื่อง " การใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้เขตการค้าเสรี" ซึ่งจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2553 เวลา 09:00 - 16:30 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา และขอเชิญชวนผู้ประกอบการลงทะเบียนและใช้งานระบบ "e-Tracking" ได้ในวันดังกล่าว
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
BARA SHIPPING AGENCIES CO, LTD.
- 3199 Vibul Thani 2, 8/F, Rama 4 Road, Klongton, Klongtoey, Bangkok 10110
- Tel. 0-2637-5400
- Fax.0-2637-5432-5
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553
ศุลกากรไปรษณีย์
สิ่ง ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยทางไปรษณีย์ จะถูกเปิดตรวจโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรร่วมกับเจ้าหน้าที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อคัดแยกสำหรับการปฏิบัติพิธีการศุลกากร ก่อนส่งมอบให้กับผู้มีชื่อรับของ โดย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1: ของยกเว้นอากร คือ ของที่มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
- ของแต่ละหีบห่อมีราคา ไม่เกิน 1,000.- บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) หรือ
- ตัวอย่างสินค้าที่ใช้ได้แต่เพียงเป็นตัวอย่างและไม่มีราคาในทางการค้า
ประเภทที่ 2: ของต้องชำระอากร คือ ของที่ส่งจากผู้ส่งคนหนึ่งถึงผู้รับคนหนึ่งในคราวเดียวกัน หรือเข้ามาถึงพร้อมกัน ไม่ว่าจะกี่หีบห่อ หากมีราคา FOB (Free On Board) รวมกันไม่เกิน 40,000.- บาท (สี่หมื่น บาทถ้วน) และไม่เป็นของต้องห้ามต้องกำกัด หรือไม่เป็นของต้องส่งตัวอย่างวิเคราะห์สินค้าก่อนปล่อย
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะทำการ ประเมินราคาและค่าอากร แล้วส่งมอบของให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด นำส่งไปที่ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทาง เพื่อส่งมอบของให้แก่ผู้มีชื่อรับของและเรียกเก็บค่าภาษีอากรแทนกรมศุลกากร โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จะออก “ใบแจ้งให้ไปรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่าง ประเทศ” (Notification to Collect International Postal Items) และจัดส่งไปให้ผู้มีชื่อรับของเพื่อแจ้งให้ไปรับของและชำระค่าภาษีอากร ณ ที่ทำการไปรษณีย์ที่ระบุไว้ในใบแจ้งฯ โดยที่ทำการไปรษณีย์จะเป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินแทนกรมศุลกากร
กรณี เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจพบว่าของรายใดมีปัญหาในการประเมินราคา หรือผู้มีชื่อรับของต้องการใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากร เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะคัดแยกของดังกล่าวเป็นของประเภทที่ 3
การโต้แย้งการประเมินค่าภาษี อากร (ของประเภทที่ 2)
สำหรับของประเภทที่ 2 เมื่อผู้รับของได้รับ “ใบแจ้งให้ไปรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ” (Notification to Collect International Postal Items) เพื่อแจ้งให้ไปรับของพร้อมจำนวนค่าภาษีอากรที่ต้องชำระ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ที่ระบุไว้ในใบ แจ้งฯ และหากผู้รับของมีความประสงค์จะโต้แย้งการ ประเมินค่าภาษีอากรที่ถูกเรียกเก็บ สามารถดำเนินการได้โดยมีขั้นตอนในการขออุทธรณ์การประเมินราคา/ภาษี อากร ดังนี้
- จัดทำคำร้องขออุทธรณ์การประเมินราคา / ภาษีอากร ( สามารถพิมพ์แบบคำร้องฯ ได้จาก Website ส่วนบริการศุลกากร ไปรษณีย์และอากาศยาน: www.postalcustoms.com )
- ยื่น คำร้องฯ พร้อมใบแจ้งฯ และเอกสารหลักฐานที่เกี่ยว ข้องกับการซื้อขาย (ถ้ามี) ส่ง ต่อส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน สำนักงาน ศุลกากรกรุงเทพโดยตรง หรือ ยื่นผ่านที่ทำการไปรษณีย์ที่ติดต่อรับของ เพื่อขอ ทบทวนการประเมินราคาและภาษีอากรใหม่ และระบุด้วย ว่าจะขอรับทราบผลการพิจารณาพร้อมขอรับของ ณ ที่ทำ การไปรษณีย์ หรือที่ฝ่ายตรวจคัดไปรษณียภัณฑ์ ส่วน บริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน ถนนรองเมือง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
- เมื่อส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์ฯ พิจารณาคำร้องแล้วเสร็จ จะแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์พร้อมส่งของคืนที่ทำการไปรษณีย์ที่ติดต่อรับของ เพื่อแจ้งให้ผู้รับของทราบและส่งมอบของต่อไป หรือ ผู้ ยื่นคำร้องอุทธรณ์ไปติดต่อขอรับของพร้อมชำระค่าภาษีอากรได้ที่ฝ่ายตรวจคัด ไปรษณียภัณฑ์ ส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน ถนนรองเมือง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
ประเภทที่ 3 : ของอื่น ๆ นอกจากประเภทที่ 1 และ 2
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะ ส่งมอบของให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อส่งไปเก็บรักษาไว้ในคลังสินค้า สำหรับเก็บสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จะออก “ใบแจ้งให้ไปรับสิ่ง ของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ” (Notification to Collect International Postal Items) แล้วส่งไปให้ผู้มีชื่อรับของ เพื่อแจ้งให้ไปปฏิบัติพิธีการศุลกากรและขอรับของ ที่ฝ่ายบริการศุลกากรไปรษณีย์ ส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน ถนนรองเมือง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ หรือด่านศุลกากรที่ระบุไว้ในใบ แจ้งฯ
การปฏิบัติพิธีการศุลกากรสำหรับของ ประเภทที่ 3 สามารถดำเนินการได้ 2 กรณี คือ
- กรณี ของราคาไม่เกิน 40,000.- บาท (สี่หมื่นบาทถ้วน) ผู้ รับของไม่ต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะประเมินราคาและจัดเก็บค่าภาษีอากร ณ จุดเดียวกัน
- กรณี ของมีราคาเกินกว่า 40,000.- บาท (สี่หมื่นบาทถ้วน) ผู้รับของจะ ต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า และส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เข้าระบบคอมพิวเตอร์กรมศุลกากร
- เอกสารที่ต้องนำมาแสดง ในการติดต่อรับสิ่งของ จากส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน หรือด่านศุลกากร
(NOTIFICATION TO COLLECT INTERNATIONAL POSTAL ITEMS)
1.1.1 ขอรับสิ่ง ของด้วยตนเอง
- บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่ทางราชการออกให้
- ใบแจ้ง ฯ
1.1.2 มอบอำนาจให้ผู้อื่นมารับสิ่งของแทนตน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจพร้อมลงนามรับรองสำเนา
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
- ใบแจ้ง ฯ (ผู้มอบอำนาจลงนามเพื่อมอบอำนาจ ด้านหลังใบแจ้งฯ)
1.2 กรณีผู้รับสิ่งของเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท ห้างฯ ร้าน เป็นต้น
1.2.1 ผู้มีอำนาจมารับด้วยตนเอง
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้จัดการ หรือของผู้มีอำนาจลงนามในเอกสารผูกพัน นิติบุคคล นั้น ๆ
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท ห้างฯ ร้าน โดยลงนามรับรองสำเนาพร้อมประทับตรา บริษัท
- ใบแจ้ง ฯ (ผู้มีอำนาจ ต้องลงนามพร้อมประทับตราบริษัทลงในด้านหลังใบแจ้งฯ)
1.2.2 นิติบุคคลมอบอำนาจให้ผู้อื่นมารับแทน
- สำเนาบัตรประจำตัว ประชาชนของผู้จัดการ หรือของผู้มีอำนาจลงนามในเอกสารผูกพันนิติบุคคลนั้น ๆ โดยลงนามรับรองสำเนาพร้อมประทับตราบริษัท
- สำเนาหนังสือ รับรองการจดทะเบียนบริษัท ห้างฯ ร้าน โดยลงนาม รับรองสำเนาพร้อมประทับตราบริษัท
- บัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบ
- ใบแจ้งฯ (ผู้มีอำนาจลงนามพร้อมประทับตราบริษัทในแบบฟอร์มการมอบอำนาจด้านหลังใบ แจ้งฯ)
*** หมายเหตุ *** ผู้รับมอบอำนาจ จะมอบอำนาจต่อให้แก่บุคคลที่สามไม่ได้
2. ขั้น ตอนในการปฏิบัติพิธีการศุลกากร
2.1 กรอกเอกสารด้านหลังใบแจ้งฯ (ตามตัวอย่างที่จัดแสดงไว้) ยื่นเอกสารที่โต๊ะเบอร์ 1 รับหมายเลขบัตรคิว แล้วนั่งรอเรียกรับของ
2.2 เปิดของร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศุลกากรตามช่องที่ได้รับเรียก เพื่อประเมินราคาค่าภาษีอากร
2.3 ชำระค่าภาษีอากรแล้วรับใบปล่อยของจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร
2.4 ยื่นใบปล่อยของที่จุดตรวจสอบหน้าประตูทางเข้าก่อนออกจากด่านศุลกากร
3. ระยะเวลา
การดำเนินการขอรับของใช้เวลาไม่เกิน 36 นาที
4. อัตราค่าธรรมเนียม
ของที่เก็บรักษาในคลังสินค้าของศุลกากร จะเสียค่าธรรมเนียมในการเก็บรักษาเป็นรายสัปดาห์ (เศษของสัปดาห์ให้นับเป็นหนึ่งสัปดาห์)
- ไม่เกิน 1 สัปดาห์นับแต่วันที่ได้เก็บรักษา ไม่เสียค่าธรรมเนียม
- เกินกว่า 1 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 5 สัปดาห์ เสียค่าธรรมเนียมเป็นรายสัปดาห์ดังนี้
(ก) น้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม หีบ ห่อละ 25 บาท
(ข) น้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 50 กิโลกรัม หีบห่อละ 50 บาท
(ค) น้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 100 กิโลกรัม หีบห่อละ 70 บาท
(ง) น้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัมขึ้นไป หีบห่อละ 70 บาท
และในส่วนที่เกิน 100 กิโลกรัม เสียค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 150 บาทต่อทุก 50 กิโลกรัม (เศษของ 50 กิโลกรัม ให้นับเป็น 50 กิโลกรัม)
- เกินกว่า 5 สัปดาห์ เสียค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินกว่า 5 สัปดาห์ เป็นรายสัปดาห์ในอัตราสองเท่าของอัตราที่กำหนดข้างต้น
5. แบบฟอร์ม ที่ใช้ปฏิบัติ พิธีการศุลกากรและขอรับของ
-
6. สถานที่ติดต่อ
ส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ กรมศุลกากร
127 ถนนรองเมือง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10000
โทรศัพท์ 0-2215-0966 ถึง 8 ต่อ 12 โทรสาร 0-2214-2395
Website: www.postalcustoms.com
เวลาทำการ วัน – เวลาราชการ: จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
7. หน่วยงานอื่นที่ร่วมให้บริการ ณ ที่ทำการส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน
7.1 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข โทร. 0 2215 4511
7.2 ด่าน ตรวจพืชไปรษณีย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร. 0 2214 3712
8. กรณีมีปัญหาในการนำเข้า โปรดติดต่อผู้บริหาร
8.1 ผู้อำนวยการส่วนบริการศุลกากรไปรษณีย์และอากาศยาน โทรศัพท์ 0-2215-3717 ,โทรสาร 0-2214-2395
8.2 หัวหน้าฝ่ายบริการศุลกากรไปรษณีย์ โทรศัพท์ 0-2215-0966 ถึง 8 ต่อ 24 โทรสาร 0-2216-8824
8.3 หัวหน้าฝ่ายตรวจคัดไปรษณียภัณฑ์ โทรศัพท์ 0-2215-0966 ถึง 8 ต่อ 20 โทรสาร 0-2216-8823
การส่งเสริมการลงทุน
2.1 สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ
| (1) ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรหรือได้รับลดหย่อนอากรขาเข้าสำหรับ เครื่องจักรลงเหลือกึ่งหนึ่ง (2) ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี หรือในบางเขตจะเพิ่มขึ้นเป็น 7 -8 ปี (3) ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นสำหรับส่วนที่ผลิต เพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลา1-5ปีแล้วแต่เขตที่โรงงาน ตั้งอยู่ (4) อนุญาตให้หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปาเป็น 2 เท่าเป็นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่เริ่มมีรายได้ (5) อนุญาตให้หักค่าติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกจากกำไรสุทธิร้อยละ 25 ของเงินที่ลงทุนในการนั้น หลักเกณฑ์ข้างต้นเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปที่คณะ กรรมการส่งเสริมการลงทุนจะถือเป็นแนวทางในการให้สิทธิ และประโยชน์แก้ผู้ประกอบการแต่ทั้งนี้อาจมีข้อยกเว้นในกรณีที่ประเภทกิจการ ที่จะให้การส่งเสริมนั้นคณะกรรมการได้ประกาศกำหนดเงื่อนไขเฉพาะเกี่ยวกับการ ให้สิทธิและ ประโยชน์ด้านภาษีอากรไว้เป็นอย่างอื่น |
2.2 พิธีการศุลกากรที่ควรทราบสำหรับของที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
| (1) การปฏิบัติพิธีการนำเข้าสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าประเภทส่งเสริมการลงทุน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() (2) การค้ำประกันค่าภาษีอากร การค้ำประกันค่าภาษีอากรตามช่วงระยะเวลาที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุนกำหนด ให้กระทำ ณ ท่า หรือที่ที่นำของเข้า (3) บัญชีรายการวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น วัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้ามาผลิต ผสมหรือประกอบ เป็นผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลซึ่งได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุนให้ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจะ ต้องนำเข้าตามช่วงระยะเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด รายการและปริมาณของของดังกล่าวข้างต้นนั้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นผู้จัดทำและแจ้งกรมศุลกากร โดยจัดทำเป็น 2 บัญชีคือบัญชีแสดงรายการและปริมาณวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ได้รับอนุมัติ ให้ยกเว้นหรือลดหย่อนอากรในแต่ละบัญชีราคาสินค้าที่นำเข้า และเป็นรายงวด 6 เดือน ในการนี้ กรมศุลกากรได้กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบและควบคุมบัญชีวัตถุดิบและ วัสดุจำเป็นเฉพาะเป็นรายงวด 6เดือนดังนี้ ![]() ![]() ![]() (4) การโอนวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องโอนวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ได้ยื่นไว้แล้วจาก บัญชีหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่ง ผู้นำของเข้าต้องยื่นคำร้องขอโอนวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ตามแบบ กศก. 82 พร้อมสำเนา 1 ฉบับ ให้ผู้ควบคุมบัญชีที่ขอโอนตรวจสอบ เมื่อพิจารณาอนุมัติแล้วหน่วยงานที่ควบคุมบัญชีขอโอนจะส่งต้นฉบับคำร้องไป ยังหน่วยงานที่รับโอน และเก็บสำเนาคำร้องไว้เป็นหลักฐานที่หน่วยงานของผู้ควบคุมบัญชีที่ขอโอน (5) การตัดบัญชีวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการนำเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนต้องจัดทำรายงานสรุปยอดบัญชีรายการวัตถุดิบและ วัสดุจำเป็นที่นำเข้าส่งให้สำนักงานศุลกากรหรือด่านศุลกากรที่เป็นหน่วยงาน ควบคุมบัญชีภายใน 15 วัน เพื่อกรมศุลกากรจะได้ดำเนินการปิดงวดบัญชีและแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการส่ง เสริมการลงทุนทราบ โดยตรงหากกรมศุลกากรตรวจพบวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่นำเข้ามีปริมาณหรือมี ระยะเวลาการนำเข้าเกินจากบัญชีวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่ได้รับแจ้งจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจะพิจารณาความผิดและดำเนินการด้านคดีต่อ ไป |
2.3 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
หากผู้ประกอบการต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน โปรดติดต่อโดยตรงที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเริมการลงทุน หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพิธีการศุลกากรสำหรับของนำเข้าที่ได้รับการส่ง เสริมการลงทุน โปรดติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
| - ฝ่ายเอกสิทธิและส่งเสริมการลงทุน ส่วนพิธีการนำเข้า สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ ![]() |
| - ฝ่ายเอกสิทธิและส่งเสริมการลงทุน ส่วนพิธีการนำเข้า สำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ![]() |
| - สำนักงาน/ด่านศุลกากรที่นำเข้าทุกแห่งในวันและเวลาราชการ ที่มา กรมศุลกากร |
การนิคมอุตสาหกรรม
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นเป็น รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมมีชื่อย่อว่า “กน อ.” มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งหลายประการ โดยเริ่มจากการจัดหาที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม หรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่จะเป็นประโยชน์ดำเนินการปรับปรุงที่ดินเพื่อ ให้บริการตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานรวมทั้งสาธารณูปโภค ต่างๆให้แก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมในเขตนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่เขตนิคม อุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น2 ลักษณะ คือ
พื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป อันเป็นเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่ เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม
พื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออก อันเป็นเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การค้าหรือบริการ เพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือ เกี่ยวกับการประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่าย ยังต่างประเทศ
ในปัจจุบันเขตอุตสาหกรรม ส่งออก ที่ มีสำนักงานศุลกากรตั้งอยู่มี 10 แห่ง ได้แก่
1.นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง (กรุงเทพฯ)
2. นิคมอุตสาหกรรมบางปู (สมุทรปราการ)
3. นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ลำพูน)
4. นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง (ชลบุรี)
5. นิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน (ชลบุรี)
6. นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (อยุธยา)
7. นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน (อยุธยา)
8. นิคมอุตสาหกรรมแปลงยาว (เกตเวย์ซิ ติ ฉะเชิงเทรา)
9.นิคมอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ (สงขลา)
10. นิคมอุตสาหกรรมพิจิตร (พิจิตร)
โดยที่การนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรแก่ผู้ประกอบการ ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกในนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมศุลกากรซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลและรับผิดชอบในเรื่องภาษีอากรของรัฐ และเพื่อการส่งเสริมการส่งออกแก่ผู้ประกอบการทั้งในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปและ เขตอุตสาหกรรมส่งออก จึงต้องกำหนดระเบียบปฏิบัติสำหรับการปฏิบัติในเขตนิคมอุตสาหกรรมไว้
พิธีการศุลกากรที่ควรทราบสำหรับผู้ประกอบการในเขตนิคมอุตสาหกรรม
(1) พิธีการศุลกากรในเขตอุตสาหกรรมส่งออก
1.1 ผู้ประกอบการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าเพื่อนำของเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดย ต้องมีหนังสือรับรองจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)ว่าเป็นผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรม ส่งออกแนบมาด้วยส่วนกรณีเป็นการนำเข้าตามมาตรา48 แห่งพ.ร.บ.การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพ.ศ.2522ต้องมีหนังสือยกเว้นอากรจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพิ่ม เติมด้วย
1.2 ผู้นำของเข้าซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมี หนังสือรับรองว่าเป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ดำเนินการขน ย้ายสินค้าจะต้องทำหนังสือสัญญาประกันไว้กับกรมศุลกากรตามแบบที่กำหนดและการ ขนส่งต้องไปตามเส้นทางที่กรมศุลกากรกำหนดด้วย
(2) พิธีการศุลกากรในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป
ถ้าผู้ประกอบการในเขต อุตสาหกรรมทั่วไปประสงค์จะปฏิบัติพิธีการ ณ สำนักงานศุลกากรประจำนิคมอุตสาหกรรมให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับพิธีการศุลกากรใน เขตอุตสาหกรรมส่งออก โดยมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้ประกอบการเขตอุตสาหกรรมทั่วไปของการนิคม อุตสาหกรรมมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
(3) ความรับผิดชอบในการขนสิ่งออกจากท่าหรือที่นำเข้ามายังนิคม อุตสาหกรรม
ผู้ นำของเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดความเสียหายต่อค่าภาษีอากร ค่าภาระติดพันหรือความเสียหายอื่นใดตามที่ได้ทำสัญญาประกันไว้ต่อกรมศุลกากร
(4) การนำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้หรือจำหน่ายใน ประเทศ
4.1 ผู้ประกอบการสามารถนำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้หรือจำหน่ายใน ประเทศได้ โดยผู้มีภาระหน้าที่ในการชำระค่าภาษีอากรต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและ หนังสืออนุญาตการนำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้หรือจำหน่ายใน ประเทศของ กนอ. ต่อสำนักงานศุลกากรประจำนิคมฯ
4.2 สำหรับบัญชีราคาสินค้า ให้สำแดงราคาซื้อขายเป็นเงินบาท โดยกรมศุลกากรจะดำเนินการกับใบขนสินค้าขาเข้าเสมือนหนึ่งการนำของเข้าจาก ต่างประเทศ และของนั้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฏหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า และภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่มตามสภาพ ราคา และอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก โดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่ง ออก
4.3 ราคาพึงประเมินหรือราคาที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณค่าภาษีอากร สำหรับของที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักรนั้น ให้ใช้ราคาศุลกากร ตามมาตรา 2 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469
(5) การส่งของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกไปแสดงต่างประเทศโดย ส่วนราชการ
5.1 ผู้ประกอบการสามารถนำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อส่งออกไปแสดงต่าง ประเทศโดยส่วนราชการ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจาก กนอ. ให้ส่งของไปแสดง ณ ต่างประเทศในนามของส่วนราชการ และยื่นคำขอตามแบบที่กรมศุลกากรกำหนด พร้อมสำเนา 1 ฉบับ ต่อหน่วยงานพิธีการประจำนิคมอุตสาหกรรมตรวจสอบ พร้อมทั้ง ทำสัญญาประกันต่อกรมศุลกากรตามแบบที่กำหนด ทั้งนี้ เงินประกันตามสัญญาประกันจะต้องให้คุ้มค่าภาษีอากรของของตามรายการในหนังสือ ที่ยื่นต่อกรมศุลกากรโดยบวกเพิ่มอีกร้อยละ 20 และให้ผู้ประกอบการค้ำประกันตนเองได้
5.2 เมื่อสำนักงานศุลกากรประจำนิคมอุตสาหกรรม พิจารณาอนุญาตแล้วจะคืนต้นฉบับหนังสือให้คืนแก่ผู้ประกอบการเพื่อใช้กำกับ ของที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกนำส่งมอบต่อส่วนราชการเพื่อส่งออกไปนอก ราชอาณาจักร
5.3 เมื่อส่วนราชการนั้นๆ ได้ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรแล้ว ผู้ประกอบการต้องยื่นหนังสือรับรองของส่วนราชการนั้นว่าได้ส่งของออกไปจริง ต่อสำนักงานศุลกากรประจำนิคมอุตสาหกรรม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ส่วนราชการนั้นๆ ได้ส่งของออก มิฉะนั้น ให้ถือว่าผิดสัญญาประกันและกรมศุลกากรจะดำเนินการบังคับสัญญาประกันทันที
(6) การนำของออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อการอื่นเป็นการ ชั่วคราว
6.1 ผู้ประกอบการสามารถนำของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเป็นการชั่วคราว เพื่อซ่อมแซม ดัดแปลง ปรับปรุง หรือเพื่อการอื่นตามความจำเป็น ได้โดยยื่นคำร้องต่อสำนักงานศุลกากรประจำนิคมอุตสาหกรรม และทำสัญญาประกันต่อกรมศุลกากร ตามแบบที่กำหนด ทั้งนี้ เงินประกันตามสัญญาประกันจะต้องให้คุ้มค่าภาษีอากรของตามรายการในคำร้อง โดยบวกเพิ่มอีก ร้อยละ 20
6.2 กรณีผู้ประกอบการไม่สามารถนำของที่นำออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกกลับเข้าไป ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามคำรับรองที่ให้ไว้ผู้ประกอบการนั้นสามารถยื่นคำ ร้องขอขยายระยะเวลานำของกลับเข้ามาในเขตอุตสาหกรรมส่งออกได้เพียงครั้งเดียว และมีระยะเวลาไม่เกินกว่าที่ขอนำของออกไปในครั้งก่อนเว้นแต่มีเหตุจำเป็นอัน สมควรก็ให้ขยายระยะเวลาเกินกว่า 1 ครั้ง
6.3 ถ้าผู้ประกอบการรายใดไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่ให้ไว้ ผู้ประกอบการรายนั้นต้องชำระค่าภาษีอากรพร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน นับจากวันที่นำของออกจนถึงวันที่นำเงินมาชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนด
(7) การนำสินค้าใน ราชอาณาจักรเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกผู้ประกอบการสามารถการนำสินค้าในราช อาณาจักรเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกได้โดยยื่นคำร้องขอนำสินค้าในราช อาณาจักรเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก(กศก.122) ต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำนิคมอุตสาหกรรม
(8) ของที่นำเข้าเขต อุตสาหกรรมส่งออกเพื่อซ่อมและนำกลับออกไปโดยยกเว้นอากรตาม พ.ร.บ. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 4 ประเภท 2 จะต้องเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดย ชำระภาษีอากรครบถ้วนแล้ว และจะต้องได้รับอนุญาตจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ด้วย
(9) ของที่นำเข้าเขต อุตสาหกรรมส่งออกและนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักร โดยได้รับยกเว้นอากร ของในราชอาณาจักรหรือของจากต่างประเทศที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและได้ ชำระอากรแล้ว หากนำเข้าในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และภายหลังนำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกกลับเข้ามาใช้ในราชอาณาจักร โดยไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะหรือรูปร่างแต่อย่างใด จะได้รับการยกเว้นอากร ทั้งนี้ จะต้องมีหนังสืออนุญาตจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมาแสดงด้วย
สิทธิ ประโยชน์ด้านภาษีอากรสำหรับผู้ประกอบการในเขตนิคมอุตสาหกรรม
(1) ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่ง เสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งของดังกล่าวที่จำเป็นในการผลิตและของที่ใช้ในการ สร้างโรงงาน หรืออาคาร
(2) ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่ง เสริมการลงทุนรวมทั้งอากรขาเข้าภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตสำหรับของ ที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า
(3) ได้รับยกเว้นอากรขาออกภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของซึ่งได้นำเข้ามาตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 รวมทั้งผลิตภัณฑ์สิ่งพลอยได้และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตแล้วส่งออก
(4) ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรสำหรับของที่มีบท บัญญัติแห่งกฏหมายให้ได้รับยกเว้น หรือคืนค่าภาษีอากร เมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือ หากผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นอากรสำหรับวัตถุดิบตามพระราชบัญญัติส่งเสริม การลงทุน พ.ศ. 2520 หรือผู้ประกอบการ ที่เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าตามมาตรา 8 ทวิ (2) แห่งพระราช บัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 หรือ ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 ส่งของเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก จะได้รับยกเว้นค่าภาษีอากรหรือคืนค่าภาษีอากรเช่นเดียวกับการส่งออกไปนอกราช อาณาจักร
(5) การขายสินค้าหรือการให้บริการระหว่างผู้ประกอบการที่ อยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ไม่ว่าจะอยู่ในเขตอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราศูนย์
(6) การขายสินค้าหรือการให้บริการระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บน กับผู้ประกอบการที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราศูนย์
(7) การนำของในประเทศเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราศูนย์ โดยถือว่าเป็นการส่งออก
สอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติม หาก ผู้ประกอบการต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรม โปรดติดต่อโดยตรงที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยว กับพิธีการศุลกากรสำหรับของนำเข้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากรใน เขตนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โปรดติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- ส่วนเขตปลอดอากร สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โทร.0-2249-4855
- ฝ่ายเขตอุตสาหกรรมส่งออกนิคม อุตสาหกรรมลาดกระบัง ส่วนเขตปลอดอากร สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โทร. 0-2326-0225
- ฝ่ายเขตอุตสาหกรรมส่งออก นิคมอุตสาหกรรมบางปู ส่วนเขตปลอดอากร สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โทร 0-2324-0362
- ฝ่ายเขตอุตสาหกรรมส่งออก นิคมอุตสาหกรรมบางประอิน ส่วนเขตปลอดอากร สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โทร 0-3525-8414
- ฝ่ายเขตอุตสาหกรรมส่งออก นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า ส่วนเขตปลอดอากร สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โทร 0-3572-9046
- ฝ่ายเขตอุตสาหกรรมส่งออก นิคมอุตสาหกรรมแปลงยาว ส่วนเขตปลอดอากร สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โทร 0-3857-5113
- ฝ่ายบริการศุลกากรลำพูน ด่านศุลกากรท่าอากาศยานเชียงใหม่ สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ลำพูน) โทร. 053-581062
- สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง โทร 0-3840-0191
- สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 โทร 0-7431-1014
เขตปลอดอากร (FREE ZONE)


เขตปลอดอากร หมายถึงเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรตามที่กฎหมาย บัญญัติ
สิทธิประโยชน์
(1) ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อนำเข้าในเขตปลอดอากรในกรณี ดังต่อไปนี้
1.1 ของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือและเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของของดังกล่าวที่จำ เป็นต้องใช้ในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ ตาม ที่อธิบดีอนุมัติ
1.2 ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้า ไปในเขตปลอดอากร สำหรับใช้ในการประกอบ อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ
1.3 ของที่ปล่อยออกมาจากเขตปลอดอากรอื่น
(2) ยกเว้นอากรขาออก สำหรับของที่ปล่อยไปจากเขตปลอดอากร เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร
(3) ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการนำสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปในเขตปลอดอากร
(4) ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำสินค้าในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตปลอด อากรเฉพาะสินค้าที่ต้องเสียอากรขาออก หรือที่ได้รับยกเว้นอากรขาออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(5) ยกเว้นภาษีสรรพสามิต สำหรับการนำเข้าและการผลิตของที่กระทำในเขตปลอดอากร
(6) ยกเว้นภาษีสุรา การปิดแสตมป์และค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายยาสูบ และกฎหมายว่าด้วยไพ่ สำหรับการนำเข้าและการผลิตที่กระทำในเขตปลอดอากร
(7) การนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือการนำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักร เข้าไปในเขตปลอดอากรเพื่อผลิต ผสม ประกอบบรรจุ หรือดำเนินการอื่น ใดกับของนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ของนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายในบังคับ กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการ ควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพการประทับตราหรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น
(8) ของใดที่มีกฎหมายบัญญัติให้ได้รับยกเว้น หรือคืนเงินอากรเมื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หากนำของนั้นเข้าไปในเขตปลอด อากรให้ได้รับยกเว้นหรือคืนเงินอากร โดยให้ถือว่าของนั้นได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในเวลาที่นำของเช่นว่า นั้นเข้าไปในเขต ปลอดอากร
(9) การนำของออกจากเขตปลอดอากรเพื่อใช้หรือจำหน่ายภายในราชอาณาจักร หรือเพื่อโอนเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือจำหน่ายให้แก่ผู้นำของเข้าตามมาตรา 19 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 หรือผู้มีสิทธิได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรหรือ กฎหมายอื่น ให้ถือว่าเป็นการนำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือนำเข้าสำเร็จในเวลาที่นำ ของเช่นว่านั้นออกจากเขตปลอดอากร
(10) การนำของในเขตปลอดอากรไปใช้เพื่อการ บริโภคหรือเพื่อประโยชน์ อย่างอื่นนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเขตปลอดอากร ให้ถือว่าเป็นการนำของออกจากเขตปลอดอากรเพื่อใช้หรือจำหน่ายภายในราชอาณาจักรดังกล่าวในข้อ (9) เว้นแต่จะเป็นการกำจัดหรือทำลายเศษวัสดุ ของที่เสียหาย ของที่ใช้ไม่ได้หรือของที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งอยู่ภายในเขตปลอดอากรโดยได้ รับอนุญาตจากอธิบดี
(11) ของที่ปล่อยจากเขตปลอดอากรเพื่อนำเข้า มาในราชอาณาจักร ให้คำนวณค่าภาษีตามสภาพของ ราคาของ และพิกัดอัตราศุลกากร ที่เป็นอยู่ในเวลาซึ่งได้ปล่อยของเช่นว่านั้นออกไปจากเขตปลอด อากรแต่ในกรณีที่ได้นำของที่มีอยู่ในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยของที่นำเข้าไปนั้นไม่มีสิทธิได้รับคืนหรือยกเว้นอากร ไม่ต้องนำราคาของดังกล่าวมาคำนวณค่าภาษี
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจัด ตั้งเขตปลอดอากร
(1) สถานที่ที่ขอจัดตั้งเขตปลอดอากร ต้องอยู่ในบริเวณที่อธิบดีกรม ศุลกากรเห็นว่าเหมาะสมและมีพื้นที่ต่อเนื่องกันและเป็น พื้นที่ที่กรมศุลกากรสามารถควบคุมการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรได้ โดยมีขนาดและสถานที่เหมาะสมกับประเภทกิจการ
1.1 กรณีสถานที่จัดตั้งเขตปลอดอากรเฉพาะเพื่อประกอบการอุตสาหกรรมต้อง เป็น
· ผู้ที่ได้รับอนุมัติจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นผู้ประกอบการเขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือ
· ผู้ที่ได้รับอนุมัติจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นเขตชุมชนอุตสาหกรรมประเภทอาคารโรงงานเอกเทศ หรือ
· ผู้ที่ได้รับอนุญาตจากการ นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ใช้พื้นที่ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป หรือ
· ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการ ลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสำหรับกิจการเขต อุตสาหกรรมหรือกิจการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์หรือกิจการเขตอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่อง ประดับ หรือ
· ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบ อุตสาหกรรมอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.2 กรณีการจัดตั้งเขตปลอดอากรเพื่อการพณิชยกรรม ต้องเป็นกิจการที่ เกี่ยวข้องกับการนำเข้า/ ส่งออก ได้แก่
o การค้าหรือการบริการหรือการขนส่งระหว่างประเทศ
o การกระจายสินค้า คลังสินค้า การซื้อมาและขายไปหรือศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศ
o การแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ การประชุมระหว่างประเทศ
o การซ่อมหรืองานด้านวิศวกรรม การตรวจสอบ วิเคราะห์ และรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือผลผลิตทางเกษตรกรรม
o กิจการอื่นที่อธิบดีเห็นว่าเป็น ประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ
· ทั้งนี้เขตปลอดอากรหนึ่งอาจเป็นเขตปลอดอากรเพื่อการประกอบ อุตสาหกรรมหรือเพื่อการพาณิชยกรรมหรือเพื่อกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การ เศรษฐกิจของประเทศอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างในเขตเดียวกันก็ได้
(2) การจัดตั้งเขตปลอดอากรจะต้อง ไม่เป็นการจัดตั้งเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรเพียงราย เดียวหรือรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ
(3) เขตปลอดอากรต้องมีประตูเข้า–ออก และรั้วที่มั่นคงแข็งแรง เว้นแต่โดยสภาพของกิจการไม่จำเป็นต้องมีรั้ว หรือโดยสภาพแวดล้อมสามารถใช้สิ่งอื่นทดแทนรั้วได้
(4) ผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องจัดให้มีสาธารณูปโภค ระบบควบคุมกำจัด มลพิษและรักษาสิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็น และห้ามมิให้จัดตั้งที่อยู่อาศัยในเขตปลอดอากร
(5) ผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องจัดให้มี สถานที่ อาคาร สิ่งก่อสร้าง เครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์สำนักงานดังนี้
- สถานที่อันควรสำหรับเป็นที่ทำ การสำนักงานศุลกากร ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่เหมาะสม โดยมีอุปกรณ์สำนักงานและเครื่อง คอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรและระบบ แลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI) และ การจัดวางระบบสายสัญญาณสื่อสาร ที่ดีและมีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในการควบคุมการรับมอบ–ส่งมอบ การ ขนย้าย การเก็บรักษา การ ควบคุมและตรวจปล่อยสินค้าด้วยระบบรหัสแถบเส้น (Bar Code System) หรือระบบควบ คุมที่ทันสมัยอย่างอื่น ตามที่กรมศุลกากรกำหนดและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบควบคุมสินค้าของผู้ ประกอบกิจการภายในเขตปลอดอากร ตามมาตรฐานที่กรมศุลกากรกำหนด และอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงานเท่าที่จำเป็น
- สถานที่ตรวจของเข้า - ออกอยู่ ในบริเวณเดียวกัน หรือบริเวณใกล้เคียงกับสำนัก งานศุลกากรที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอกับการปฏิบัติงานพร้อมทั้งต้องจัด ให้มีเครื่องมือ เครื่องใช้สำหรับการตรวจสินค้าของเจ้าหน้าที่ ตามที่กรมศุลกากรกำหนด
- สถานีตรวจ สอบ (Checking Post) ตั้งอยู่ในบริเวณที่เหมาะสม แยกช่องทางเข้าและออกซึ่งแต่ละ ช่องทางเข้า - ออก ความกว้างไม่น้อยกว่าช่องทางละ 3 เมตร และ มีเครื่องชั่งน้ำหนัก อิเลคโทรนิคส์ ประจำบริเวณช่องทางเข้า-ออก ที่เชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ และมีบริเวณสถานที่จอดรถยนต์เพื่อตรวจยานพาหนะและสินค้า ชั่วคราว และ เครื่องอำนวยความสะดวกเครื่องมือเครื่องใช้ ที่ทันสมัยและจำเป็น เพื่อใช้ในการปฏิบัติ งานและการควบคุม เช่น โทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ที่มีความสามารถในการ บันทึกภาพเหตุการณ์ บุคคล หมายเลขทะเบียนยานพาหนะ หมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ และ หรือสิ่งของที่ผ่านเข้า - ออก และเปิดตรวจสอบข้อมูลภาพย้อนหลังได้ไม่น้อยกว่า 60 วัน และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกับ ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI) ของกรมศุลกากร เป็น ต้น ทั้งนี้ ตามความจำเป็นตามที่กรมศุลกากรกำหนด
- สถานที่ อันควรสำหรับเป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ศุลกากรซึ่ง อยู่นอกเขตปลอดอากร โดยอาจอยู่ในบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกับสำนักงานศุลกากรตาม ความเหมาะสม
(6) ผู้ได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องดูแลรักษาสถานที่ ระบบ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้จัดให้มีไว้ใช้ดังกล่าวข้างต้น และจะต้องดูแลข้อมูลคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย พร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่ศุลกากร ตรวจสอบตลอดเวลา รวมถึงการแก้ไขปรับปรุง การพัฒนาระบบ และจัดหาเพิ่มเติมตามที่กรม ศุลกากรกำหนด
(7) ผู้ได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องไม่นำที่ดิน อสังหาริม ทรัพย์ ส่วนควบและอุปกรณ์ซึ่งใช้เป็นระบบสาธารณูปโภคหรือที่ดินที่ใช้เพื่อ บริการสาธารณะ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์สำนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไปใช้เป็นหลักประกันหนี้หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันไม่ว่าโดยทางตรงหรือ โดยทางอ้อม
(8) ผู้ได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องดำเนินการจัดทำสัญญาประกันและ ทัณฑ์บน เพื่อประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่กรมศุลกากร และเพื่อผูกพันให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กรมศุลกากรกำหนดและต้องชำระค่าธรรมเนียมสำหรับเขตปลอดอากร ตามที่รัฐมนตรีกำหนดในกฎกระทรวง
(9) ผู้ได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และประกาศกรมศุลกากรไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และประกาศกรม ศุลกากรที่ใช้บังคับอยู่แล้วหรือที่จะออกใช้บังคับต่อไปในภายหน้า
คุณสมบัติของผู้ขอจัดตั้งเขต ปลอดอากร
(1) เป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 หรือบริษัท จำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เฉพาะกรณีที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประสงค์ที่จะขอจัดตั้งเขตปลอดอากรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา จะต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ในเขตพื้นที่อื่นจะต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน บาท หรือมีทุนจด ทะเบียนชำระแล้วในจำนวนที่อธิบดีเห็นว่าเหมาะสมกับประเภทของกิจการและเป็น กิจการที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง
(2) เป็นกิจการที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง
(3) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง หรือเป็นผู้มีสิทธิบริหารจัดการในที่ดินหรือพื้นที่ที่ขอจัดตั้ง
(4) ต้องไม่เคยมีประวัติการ กระทำความผิดอย่างร้ายแรงตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากร ย้อนหลัง 3 ปี นับแต่วันยื่นคำขอ
เอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นคำขอจัดตั้งเขตปลอดอากร
(1) คำขอจัดตั้งเขตปลอดอากร
(2) สำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนนิติบุคคล
(3) สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ออกให้ ไม่เกิน 6 เดือน ก่อนวันยื่นคำขอ
(4) สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ.20)
(5) งบการเงินที่ได้รับการรับรองจากผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต ย้อนหลัง 3 ปี
(6) สำเนาโฉนดที่ดิน หรือสำเนาหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน หรือหนังสืออนุญาตให้มีสิทธิใน การบริหารจัดการในที่ดินหรือพื้นที่ที่ขอจัดตั้ง
(7) แผนที่โดยสังเขป แบบ แปลนแผนผังของสถานที่ที่ขอจัดตั้ง และสิ่งปลูกสร้างขนาดไม่ต่ำกว่า 40 x 60 ซ.ม.
(8) หนังสือรับรองการก่อสร้าง และการจัดหาเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์สำนักงาน สิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูปโภคที่จำเป็น เพื่อ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข รวมทั้งกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนพร้อม ที่จะเปิดดำเนินการ
(9) กรณีที่ผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรเพื่อประกอบการอุตสาหกรรมให้ยื่น
- สำเนาหนังสืออนุญาตให้เป็นเขตประกอบอุตสาหกรรมหรือให้เป็นเขต อุตสาหกรรมประเภทอาคารโรงงานเอกเทศจากกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ
- สำเนาหนังสืออนุญาตจากการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ใช้พื้นที่ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป หรือ
- สำเนาหนังสือส่งเสริมการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสำหรับกิจการเขตอุตสาหกรรม หรือกิจการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ หรือกิจการเขตอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ หรือ
- สำเนาหนังสืออนุญาต หรือหนังสือรับรองสำหรับอุตสาหกรรมอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ในกรณีที่พื้นที่ที่ขอ จัดตั้งมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศอยู่ก่อนแล้ว ให้แสดงหนังสืออนุญาตหรือหนังสือรับรองให้ประกอบการตามที่ได้รับอนุญาตจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(10) รายละเอียดโครงการจัดตั้งเขตปลอดอากร อย่างละ 2 ชุด
(10.1) โครงการดำเนินงาน วัตถุประสงค์ ประเภทของกิจการหรือประเภทอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาดำเนินการในเขตปลอด อากร
(10.2) แผนงาน แผนการบริหารจัดการ ระยะเวลาที่ใช้ดำเนินการจัดสร้างสิ่งปลูกสร้าง สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ และกำหนดระยะเวลาการพัฒนาโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนแล้วเสร็จ
(10.3) แผนการเงิน แหล่งเงินทุน และขนาดของการลงทุน
(10.4) แผนการขาย ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือการใช้สิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
(10.5) แผนการดูแลรักษาสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะหรือข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อบำรุงรักษา ซ่อมแซม และเสริมสร้างระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก
(10.6) โครงการ ที่จะขยายได้ในอนาคต (ถ้ามี)
(10.7) อื่นๆ เช่น ผลที่จะเกิดจากการดำเนินการที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจ ของประเทศ มาตรการป้องกันความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน สิ่ง แวดล้อม และมาตรการกำจัดมลภาวะและรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
*เอกสารในข้อ(1) – (10) จัดทำสำเนา 1 ชุด ยกเว้น ข้อ( 7) ให้จัดทำ สำเนา 2 ชุด เอกสารต้นฉบับและสำเนาทุกแผ่นให้ผู้มีอำนาจ ลงนามและประทับตราบริษัท
การดำเนินการขอจัดตั้งเขตปลอดอากร
(1) ผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากร จะต้องยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อม เอกสารประกอบตามแบบที่กรมศุลกากรกำหนด ณ ส่วนหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรกรมศุลกากร โดยต้องกำหนดวัตถุประสงค์และประเภทกิจการที่จะดำเนินการในเขตปลอดอากร พร้อมทั้งแผนงานและระยะเวลาของโครงการ รวมทั้งแหล่งเงินทุน
(2) กรมศุลกากรจะตรวจสอบคำขอจัดตั้งฯ และเอกสารประกอบใน เบื้องต้น หากคำขอจัดตั้งฯ รายละเอียดโครงการและเอกสารประกอบถูกต้องครบถ้วน กรมศุลกากรจะรับคำขอจัดตั้งฯ ไว้พิจารณาและนัดหมายให้ผู้ยื่นคำขอจัดตั้งฯ นำเจ้าหน้าที่ศุลกากรไปตรวจสอบสถานที่ที่ขอจัดตั้งภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอจัดตั้งฯ
(3) กรมศุลกากรจะพิจารณาคำขอจัดตั้งฯ รายละเอียดโครงการและเอกสารประกอบรวมถึงผลการตรวจสอบสถานที่และความ เหมาะสมด้านอื่นๆ ในกรณีที่เอกสารและรายละเอียดถูกต้องครบถ้วน กรม ศุลกากรจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้ตรวจสอบสถานที่ หาก พ้นกำหนดและกรมศุลกากรไม่มีหนังสือ แจ้งผลการพิจารณาหรือแจ้งเหตุขัดข้องประการใด ให้พึงถือว่ากรมศุลกากรได้ อนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากรโดยปริยาย
(4) ในกรณีที่กรมศุลกากรไม่เห็น ชอบหรือไม่อนุญาตให้จัดตั้งเขตปลอดอากร ผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรมี สิทธิอุทธรณ์ต่อกรมศุลกากร โดยทำเป็นหนังสือระบุข้อ โต้แย้ง ข้อเท็จจริง และข้อ กฎหมายอ้างอิงยื่นต่อสำนักงานเลขานุการกรม ภายใน กำหนดระยะเวลา 15 วัน นับ แต่วันที่ได้รับคำสั่งกรมศุลกากร ซึ่งกรมศุลกากรจะได้วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ หากกรมศุลกากรมิได้วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ากรมศุลกากรได้เห็นชอบหรือได้อนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากร และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของกรมศุลกากรให้ถือเป็นที่สุด กรณีมีผู้ประกอบการในสถานที่ที่ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรอยู่ก่อนแล้ว จะพิจารณาตรวจสอบคำ ขอของผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรไปในคราวเดียวกันก็ได้
(5) เมื่อกรมศุลกากรได้อนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากรแล้ว
(5.1) ผู้ได้ รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรจะต้องทำสัญญาประกันและทัณฑ์บนเพื่อ ประกันความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นแก่กรมศุลกากรและเพื่อผูกพันให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ ที่กรมศุลกากรกำหนด ตามแบบแนบท้ายประกาศนี้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่อนุมัติ พร้อม ทั้งชำระค่าธรรมเนียมสำหรับเขตปลอดอากรตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยกฎ กระทรวง
(5.2) ผู้ได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรจะต้อง วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารเพื่อค้ำประกันความรับผิดในค่าภาษีอากร ภาระติดพัน ค่าเสียหายอื่นใดตามสัญญาประกันและทัณฑ์บน โดยกรณีพื้นที่ที่ขอจัดตั้งอยู่ใน เขตกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ ฉะเชิงเทรา จะต้องวาง หนังสือค้ำประกันของธนาคารในวงเงิน 5 ล้านบาท ส่วนในเขตพื้นที่อื่นจะต้องวางหนังสือค้ำประกันของธนาคารในวงเงิน 2 ล้านบาท
(5.3) เมื่อผู้ ได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรได้ดำเนินการจัดทำสัญญา ประกันและทัณฑ์บน และชำระค่าธรรมเนียมประจำปี และวางหลักประกัน เรียบร้อยแล้ว กรมศุลกากรจะออกใบอนุญาตเป็น ผู้จัดตั้งเขตปลอดอากร เพื่อให้ผู้จัดตั้งเขตปลอดอากรใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการต่อไป
(6) เมื่อผู้ได้รับ อนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากรดำเนินการก่อสร้างอาคาร สถานที่ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ รวมทั้งจัดการเรื่องสาธารณูปโภคที่จำเป็นในการประกอบกิจการเขตปลอดอากรแล้วเสร็จตาม หลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กรมศุลกากรกำหนด และตามคำขอจัดตั้งฯ รวมทั้งเอกสารประกอบและพร้อมที่จะเปิดดำเนินการ ให้มีหนังสือแจ้งให้ส่วนหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กรมศุลกากร เพื่อนัดหมายเจ้าหน้าที่ไปทำการตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ที่ขอเปิด ดำเนินการ หากพบว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ให้ไว้ กรม ศุลกากรจะอนุมัติให้เปิดดำเนินการ และออกประกาศกรมศุลกากร เรื่อง การเปิดดำเนินการเขตปลอดอากรให้ทราบทั่วกัน พร้อมคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ผู้ได้รับอนุมัติจัด ตั้งฯ ได้วางค้ำประกันไว้
(7) หากผู้ขอจัดตั้งไม่สามารถดำเนินการตามหนังสือรับรองการก่อสร้างฯ ให้พร้อมที่จะเปิดดำเนินการและแล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือ รับรองการก่อสร้าง กรมศุลกากรจะเรียกหลักประกันเพิ่มเติมให้คุ้มค่าภาษีอากรที่ อาจพึงต้องชำระ และ/หรือบังคับเรียกค่าเสียหายตามสัญญาประกันและทัณฑ์บน แต่หากผู้ขอจัดตั้งได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาออกไปโดยมี เหตุผลอันสมควร กรมศุลกากรอาจพิจารณาขยายเวลาออกไป ก็ได้ แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ครบกำหนด
คุณสมบัติของผู้ประกอบกิจการใน เขตปลอดอากร
(1) เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และมีฐานะการเงินมั่นคง เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินหรือพื้นที่ที่ขอ ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร กรณี ที่ไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ให้ยื่นคำร้องขอผ่อนผันพร้อมคำร้องขอประกอบกิจการ ซึ่งอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายจะพิจารณาอนุมัติผ่อนผันให้ตามความจำเป็น และเหมาะสม
(2) ได้รับความ ยินยอมจากผู้ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากร
(3) ผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องดำเนินกิจการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเขตปลอดอากรหรือกิจการอื่นใด ที่อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายเห็นว่าเป็นประโยชน์ก่อการเศรษฐกิจของ ประเทศ
(4) ต้องไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิดอย่างร้ายแรงตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากร ย้อนหลัง 3 ปี นับแต่วันยื่นคำขอ
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประกอบ กิจการในเขตปลอดอากร
(1) ผู้ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอด อากร ต้องจัดให้มีเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบควบคุมบัญชีแบบอิเล็คทรอนิกส์ (Inventory Control) เกี่ยวกับการนำเข้า - ส่งออก ของคงเหลือในสถานประกอบกิจการในเขตปลอดอากรที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรและระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI) อุปกรณ์ระบบรหัสแถบ เส้น (Bar Code System) หรือระบบควบ คุมที่ ทันสมัยอย่างอื่นตามที่กรมศุลกากรกำหนด และต้องดูแลข้อมูล คอมพิวเตอร์ ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย พร้อมที่จะให้เจ้า หน้าที่ศุลกากรตรวจสอบได้ตลอดเวลา
(2) ผู้ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องดูแลรักษาระบบ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ได้จัดให้มีไว้ใช้ดังกล่าวข้างต้น รวม ตลอดถึงการแก้ไขปรับปรุงการพัฒนาระบบ และจัดหา เพิ่มเติมตามที่กรมศุลกากรกำหนด
(3) ผู้ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องรับผิด ที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าเสียหาย ทั้งปวง สำหรับของที่สูญหายหรือถูกทำลายในระหว่างการเคลื่อนย้ายเข้าไปในหรือออกจากเขตปลอดอากร หรือในขณะที่อยู่ในเขตปลอดอากรจนกว่าจะผ่านการตรวจปล่อยพ้นไปจากอารักขาของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของบุคคลใด ทั้งที่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อและไม่ ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเหตุที่ได้ปฏิบัติฝ่าฝืนหรือละเมิดกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับกรมศุลกากร หรือเพราะปฏิบัติผิดเงื่อนไขในสัญญาหรืออุบัติเหตุ เช่น อัคคีภัย โจรกรรม
(4) ผู้ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรจะ ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่มีหน้าที่กำกับการ เพื่อปฏิบัติการตามหน้าที่และในกรณีที่มีเหตุอันควร สงสัยว่ามีของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี อากรหรือของที่หลีกเลี่ยงค่าภาษีอากรหรือของต้องกำกัดหรือต้องห้าม หรือของที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปในเขตปลอด อากร ผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องยินยอมให้พนักงาน เจ้าหน้าที่เข้าไปในสถานประกอบกิจการ เพื่อสอบถาม ข้อเท็จจริงหรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือของใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(5) ผู้ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรจะต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ระเบียบ คำสั่ง และประกาศกรมศุลกากร ทั้งที่ใช้บังคับอยู่หรือที่ จะออกใช้บังคับต่อไปภายหน้า รวมทั้งข้อกำหนดตามสัญญา ประกันและทัณฑ์บน โดยเคร่งครัด
เอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นคำขอเป็นผู้ประกอบกิจการ ในเขตปลอดอากร
(1) คำขอเป็นลายลักษณ์อักษรตามแบบ
(2) สำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน นิติบุคคล
(3) สำเนาหนังสือรับรองการจด ทะเบียน และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ออกให้ไม่เกิน 6 เดือน ก่อนวันยื่นคำขอ
(4) สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ.20)
(5) สำเนา หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในที่ดินที่ขอประกอบกิจการ
(6) หนังสือยินยอมจากผู้ได้รับ อนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากร
(7) งบการ เงินที่ได้รับการรับรองจากผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตย้อนหลัง 3 ปี หรือผลการดำเนินงานอย่างอื่น
(8) แบบแปลนแผนผังสถานที่ตั้งสถาน ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร
(9) รายละเอียดการขอประกอบกิจการใน เขตปลอดอากร
9.1 วัตถุประสงค์
9.2 ประเภทของกิจการ
9.3 แผนงานและกระบวนการผลิต
9.4 แหล่งเงินทุน
*เอกสารในข้อ (1 – 9) จัดทำสำเนา 1 ชุด ยกเว้น ข้อ(8) ให้จัดทำ สำเนา 2 ชุด เอกสารต้นฉบับและสำเนาทุกแผ่นให้ผู้มีอำนาจ ลงนามและประทับตราบริษัท
กรณีสถานที่ที่ขอจัดตั้งเขตปลอดอากรมี ผู้ประกอบการในเขตดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว ผู้ประกอบ การสามารถยื่นคำขอเป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรไปในคราวเดียวกัน หรือภายหลังที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเขตปลอดอากรแล้วก็ได้
การ ดำเนินการเป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร
(1) ผู้ประสงค์จะยื่นคำขอประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ต้องยื่นคำขอ ณ ส่วนหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ สำนัก สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กรมศุลกากร โดยมีรายละเอียดและเอกสารประกอบ
(2) กรมศุลกากรจะตรวจสอบและพิจารณาคำขอ ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร และจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบในกำหนด 7 วัน นับ แต่วันที่ได้รับคำขอและเอกสารถูกต้องครบถ้วน หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้พึงถือว่ากรมศุลกากรได้อนุมัติ แล้ว ในกรณีที่กรมศุลกากรไม่เห็นชอบหรือไม่อนุญาตให้เป็นผู้ประกอบกิจการในเขต ปลอดอากร ผู้ขอเป็นผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรมีสิทธิอุทธรณ์ต่อกรมศุลกากร โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับการอุทธรณ์ของผู้ขอจัดตั้งเขตปลอดอากร
(3) เมื่อกรม ศุลกากรได้แจ้งผลการพิจารณาอนุมัติแล้ว ให้ผู้ได้รับอนุมัติมาดำเนินการจัดทำสัญญาประกันและทัณฑ์บนตามแบบ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่อนุมัติเพื่อประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่กรมศุลกากรและ เพื่อผูกพันให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กรมศุลกากรกำหนด